สงครามการค้าของทรัมป์จะส่งผลกระทบกับใครต่อไป?
การเพิ่มอัตราภาษีที่เกิดขึ้นล่าสุดโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้จุดประกายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการค้าทั่วโลก ขณะที่สหรัฐอเมริกากำลังเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ความกังวลเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้จากประเทศเหล่านี้และประเทศอื่นๆ กำลังเพิ่มสูงขึ้น นำไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน
เบื้องหลังนโยบายภาษีของทรัมป์
ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีหลายชุด โดยมีการเรียกเก็บภาษี 25% จากสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก และภาษี 10% จากสินค้าจากจีน มาตรการเหล่านี้ได้รับการส่งเสริมว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่กว้างขวางเพื่อจัดการกับการเข้าเมืองผิดกฎหมายและการค้ายาเสพติด โดยเฉพาะฟентานิลซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในสหรัฐอเมริกา [1] สำนักงานของทรัมป์โต้แย้งว่าการใช้ภาษีเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปกป้องความมั่นคงภายในและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ [1][9]
ผลกระทบทางเศรษฐกิจในทันที
ภาษีเหล่านี้คาดว่าจะมีหลายผลกระทบในทันทีต่อทั้งสหรัฐอเมริกาและคู่ค้าทางการค้า:
- ราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น: ภาษีจะทำให้ราคาสินค้าผู้บริโภคสูงขึ้นในวงกว้าง เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของชำ และรถยนต์ ธุรกิจที่พึ่งพาวัสดุนำเข้าจะต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะส่งต่อไปยังผู้บริโภค [5][11].
<li><b>การสูญเสีย GDP:</b> ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าภาษีรวมกันอาจส่งผลให้ GDP ของสหรัฐฯ เสียหายถึง 0.4% ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 100 พันล้านดอลลาร์ <a href="https://example.com/link4">[5]</a>.</li>
<li><b>มาตรการตอบโต้:</b> แคนาดาและเม็กซิโกได้ประกาศแผนที่จะเรียกเก็บภาษีตอบโต้สินค้าจากสหรัฐฯ โดยมุ่งเป้าไปที่ภาคส่วนที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองในสหรัฐฯ เช่น เกษตรกรรมและการผลิต <a href="https://example.com/link5">[3][9]</a>.</li>
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการค้าทั่วโลก
แนวคิดของ "การเรียกเก็บภาษีที่ซ้อนกัน" หมายถึงความเสี่ยงในการเกิดภาษีตอบโต้ที่ทวีความรุนแรงซึ่งอาจรบกวนเครือข่ายการค้าทั่วโลก ขณะที่ประเทศต่างๆ ตอบสนองต่อภาษีของสหรัฐฯ ด้วยมาตรการของตนเอง ความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานโลกหมายความว่าผลกระทบอาจกระจายไปทั่วหลายประเทศ
- การรบกวนห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก: ภาษีสามารถทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน โดยจะส่งผลกระทบต่อประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงแคนาดาและเม็กซิโก [2].
<li><b>ผลกระทบต่อห่วงโซ่มูลค่าทั่วโลก:</b> อาจส่งผลให้การเข้าร่วมในห่วงโซ่มูลค่าทั่วโลกลดลง ขณะที่ธุรกิจพยายามหลีกเลี่ยงต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษี <a href="https://example.com/link7">[2]</a>.</li>
<li><b>ผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะยาว:</b> สงครามการค้าอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่การหดตัวในระดับโลก โดยมีการประเมินว่าการค้าทั่วโลกอาจลดระดับ GDP ลงถึง 0.2% สำหรับทุก ๆ จุดเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นในภาษี <a href="https://example.com/link8">[2]</a>.</li>
การตอบสนองจากประเทศที่ได้รับผลกระทบ
ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาษีเหล่านี้ไม่ได้อยู่เฉยๆ แคนาดาและเม็กซิโกได้แสดงเจตนาที่จะตอบโต้ ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นไปอีก
- แคนาดา: เจ้าหน้าที่แคนาดาแสดงความไม่พอใจ โดยระบุว่าภาษีของสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมและเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจของตน แคนาดาวางแผนจะกำหนดภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ รวมถึงเหล็ก อลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร มูลค่ารวมประมาณ 29.8 พันล้านดอลลาร์แคนาดา [3][9].
<li><b>เม็กซิโก:</b> เม็กซิโกได้ระบุว่าพวกเขาจะตอบโต้ด้วยภาษี แต่ยังไม่มีการประกาศมาตรการเฉพาะ รัฐบาลเม็กซิโกมีแนวโน้มที่จะมุ่งเป้าไปที่สินค้าจากสหรัฐฯ ที่จะกดดันการเมืองต่อรัฐบาลทรัมป์ <a href="https://example.com/link10">[5]</a>.</li>
<li><b>จีน:</b> ในการตอบสนองต่อภาษีของสหรัฐฯ จีนได้เริ่มเรียกเก็บภาษีจากการส่งออกทางการเกษตรจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการตึงเครียดความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ <a href="https://example.com/link11">[5]</a>.</li>
ผลกระทบในระยะยาวต่อการค้าทั่วโลก
สงครามการค้าที่กำลังดำเนินอยู่ก่อให้เกิดคำถามที่สำคัญหลายประการเกี่ยวกับอนาคตของการค้าทั่วโลก:
- การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการค้า: ประเทศต่างๆ อาจมองหาทางเลือกในการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อตกลงทางการค้าและหุ้นส่วนใหม่ๆ [9].
<li><b>ผลกระทบทางเศรษฐกิจตนเอง:</b> หลายประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ เป็นห่วงว่าภาษีจะนำไปสู่อันตรายทางเศรษฐกิจในตนเอง ขณะที่พวกเขาตอบโต้ต่อการส่งออกของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกไม่มั่นคงยิ่งขึ้น <a href="https://example.com/link13">[10][13]</a>.</li>
<li><b>ผลกระทบต่อธุรกิจในสหรัฐฯ:</b> บริษัทในสหรัฐฯ ที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอาจเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและความสามารถในการแข่งขันน้อยลงในตลาดต่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่งานลดลงและภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศ <a href="https://example.com/link14">[7][11]</a>.</li>
บทสรุป
เมื่อสงครามการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ดำเนินไป ความเสี่ยงที่จะเกิดการเรียกเก็บภาษีที่ซ้อนกันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการค้าทั่วโลก ผลกระทบในทันทีต่อราคาผู้บริโภคและ GDP ที่น่าวิตก แต่ผลกระทบในระยะยาวอาจมีนัยยะสำคัญยิ่งกว่า ประเทศต่างๆ มีแนวโน้มที่จะตอบโต้ด้วยการกำหนดภาษี ซึ่งอาจทำให้เกิดเครือข่ายการตอบโต้ที่ซับซ้อนซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกไม่มั่นคง สถานการณ์นี้ต้องการการติดตามอย่างใกล้ชิดและการตอบสนองที่มีกลยุทธ์จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้นนี้

